วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเมินสื่อการสอนและวิเคราะห์สื่อการสอน

ลักษณะของชุดการสอนที่ดี

1. เป็นชุดสื่อประสมที่ผลิตได้เหมาะสมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเนื้อหาบทเรียน
2. เหมาะสมกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
3. ประกอบไปด้วยสื่อหลากหลายเร้าความสนใจของผู้เรียนได้ดี
4. มีคำชี้แจงและคำแนะนำวิธีการใช้อย่างละเอียด ชัดเจน ง่ายต่อการนำไปใช้
5. มีวัสดุอุปกรณ์ ตามที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วนในบทเรียน
6. ได้ดำเนินกี่ผลิตอย่างเป็นระบบ ได้ปรับปรุงและทดสอบให้มีปรสิทธิภาพและทันสมัย
7. มีความคงทนถาวรต่อการใช้และสะดวกในการรักษา



ชุดสื่อการสอน
MONOPOLY
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ


เป็นชุดเกมสื่อการสอนช่วยฝึกสมองและสร้างความสนุกสนานในหมู่เพื่อนๆและครอบครัวใช้เป็นสื่อการสอนอิสระที่ผู้เล่มสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะด้วยตนเอง สามารถเล่นได้ 3-7 คน

อุปกรณ์ในการเล่น
1.กระดานพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ
2. การ์ดผลงานศิลปะ
3. ตัวจองการเป็นเจ้าของผลงานศิลปะ
4. ตัวเดิน (แทนการเป็นผู้ชมงานศิลปะ)
5. ลูกเต๋า



















ผู้เล่น
1. เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ (ทำหน้าที่ดำเนินเกมส์ทุกอย่าง)
2 . ผู้เดินชมงานศิลปะ (เป็นผู้เล่นที่เป็นไปตามกติกาการเล่น)


ก่อนการเล่นเกมส์
ผู้เล่นทุกคนมีเวลา 1 นาที ในการเวียนกันดู การ์ดข้อมูลงานศิลปะ หลังจากนั้นนำส่งให้เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมไปไว้กลางวง


กติกาและวิธีการเล่น
1. ครั้งแรกให้ผู้ชมงานศิลปะทอยลูกเต๋า โดยให้ผู้ได้แต้มมากที่สุดเป็นคนเดินเป็นคนแรก โดยใช้ ตัวเดินของตนเองเดินไปตามช่องให้เท่ากับจำนวนที่ทอยได้

2. เมื่อผู้ชมงานศิลปะเดินไปตกที่ช่องผลงานศิลปะใด ให้ผู้ชมงานศิลปะอธิบายผลงานศิลปะนั้นให้ผู้ชมงานศิลปะคนอื่นฟัง เมื่อเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เห็นว่าถูกต้องก็จะแจกการ์ดผลงานศิลปะและตัวจองการเป็นเจ้าของผลงานศิลปะแก่ผู้ชมงานศิลปะคนนั้น ซึ่งผู้ชมงานศิลปะที่ได้การ์ดผลงานศิลปะก็จะนำการ์ดผลงานศิลปะที่ได้มาวางไว้หน้าตัวเอง และนำตัวจองการเป็นเจ้าของผลงานศิลปำวางไว้ในช่องผลงานศิลปะที่ตัวเองเป็นเจ้าของ

3.  หากผู้ชมงานศิลปะไม่สามารถอธิบายงานศิลปะที่ตนเองเดินไปหยุดอยู่ได้ ก็จะไม่สามารถเป็นเจ้าของผลงานศิลปะนั้นๆ แต่ให้นำตัวเดินไปวางไว้ได้

4. หากมีผู้ชมงานศิลปะคนอื่นๆ เดินมาตกตรงที่มีผู้เป็นเจ้าของผลงานศิลปะแล้ว ให้ผู้ที่เดินมาตก อธิบายหรือบอกชื่อผลงานศิลปะนั้นๆ หากไม่สามารถบอกได้ ผู้ที่เดินตกลงมาในช่องนั้นๆ จะต้องคืนงานศิลปะแก่เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ 1 ภาพ หากยังไม่มีผลงานศิลปะเป็นของตนเองให้ติดไว้ก่อน แต่ถ้าหากผู้ชมงานเดินครบ 1 รอบแล้ว ยังไม่มีผลงานศิลปะมาคืนพิพิธภัณฑ์ ผู้เล่นคนนั้นก็จะต้องออกจากการแข่งขัน

5. เมื่อภาพทุกภาพมีเจ้าของครบแล้วถือเป็นอันจบเกม คนที่มีภาพมากที่สุดเป็นผู้ชนะ




ประเมิน พัฒนา และปรับปรุงสื่อการสอน

MONOPOLY
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ


ชุดสื่อการสอน ชุด MONOPOLY พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะเป็นชุดการสอนที่ให้ความรู้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องผลงานศิลปะที่สำคัญๆแต่ละชิ้น เพราะในสื่อการสอนจะมีการ์ดที่มีข้อมูลของงานศิลปะแต่ละชิ้นอย่างครบถ้วน

ในการเล่นเกมสื่อการสอนชุดนี้ทำได้โดยง่าย เนื่องจากมีวัสดุอุปกรณ์และวิธีใช้ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนระหว่างผู้ดำเนินการเล่น กับผู้เล่น มีการแบ่งสัดส่วนการจัดเก็บ อุปกรณ์เป็นส่วนๆทำให้ง่ายต่อการใช้งาน

ในเรื่องความทนทานสื่อการสอนชุดนี้มีความทนทานอย่างดีเพราะมีวีการพับเก็บรักษาที่เป็นระบบ มีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหายได้อย่างดี


สรุป

ชุดสื่อการสอน MONOPOLY พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ เป็นชุดสื่อการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาบทเรียนและวัตถุประสงค์ของสื่อชุดนี้ มีการระบุวัสดุอุปกรณ์ อธิบายลักษณะของผู้เล่น วิธีการเล่นอย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจสื่อชุดนี้

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ลักษณะการรับรู้และการเรียนรู้ของตัวเอง



ลักษณะการรับรู้ของฉัน

การรับรู้ของตัวผมเองจะเป็นคนประเภทที่ต้อง ได้ยิน และ ได้ทำ หากทำแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวผมจะเข้าใจเพียงครึ่งๆกลางๆ เพราะผมเองคิดว่า หากคนเราปฏิบัติแต่ไม่ลงมือทำ ก็จะไม่เข้าใจมันจริงๆ จะเข้าใจก็เพียงครึ่งๆกลางๆเท่านั้น

ผมจะรับรู้ได้ดีในช่วงเวลาตั้งแต่ 20.00 น. - 0.00 น. ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ตัวผมเองคิดว่าผมรับรู้ข้อมูลได้ดีที่สุดเพราะเป็นเวลาที่ผมมักจะอ่านหนังสือ หรือค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ และเข้าใจมันดีกว่าในเวลาอื่น

ลักษณะการเรียนรู้ของฉัน

การเรียนรู้ของผมจะมาจากการได้ลองทำและเรียนรู้ ต่อยอดเองเป็นส่วนใหญ่ คือ ฟังทฤษฏี แล้วนำมา
ทดลองปฏิบัติจริง จะทำให้ผมเรียนรู้ได้เร็วและเข้าใจมันได้ง่าย และหากเป็นเรื่องอ่านหนังสือ การเรียนรู้ของผมคือ อ่านคร่าวๆ แล้ว เลคเชอ จุดสำคัญๆไว้ รอบนึง หลังจากนั้นก็ อ่านให้ละเอียดในส่วนที่ เลคเชอ ไว้หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็หาข้อมูลใน internet หรือ ผู้รู้เป็นส่วนใหญ่

เทคนิคในการจดจำ

เทคนิคของผมนั้นสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นเทคนิคเฉพาะตัวเพราะเวลาผมจะจดจำอะไร ผมจะชอบวาดเป็นภาพ หรือคิดมันเป็นสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีกระบวนการต่างๆ ทำให้ผมสามารถจำมันและเข้าใจมันได้โดยง่าย ผ่านเทคนิคของผม เช่น มีโครงงาน 1 โครงงาน รายละเอียดต่างๆในโครงงานก็จะมีแบ่งแยกออกไปหลายๆส่วน ผมก็จะคิดว่า ส่วนต่างๆนั้นก็เหมือนกับ โรงงานผลิตอะไรซักอย่างหนึ่ง แบ่งแยกหัวข้อเป็นส่วนในการผลิตต่างๆ และ ขั้นตอนอื่นๆก็ปลีกแยกออกไปตามความสมควร จะทำให้จำง่าย และไม่สลับซับซ้อน นี่แหละครับคือเทคนิคของผม


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เวลาของชีวิต




TIME OF MY LIFE




เวลาของผมเริ่มตั้งแต่วันที่ผมเกิด เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2536 ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง มันเป็นวันที่เวลาวินาทีแรกในชีวิตของผมได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกันกับชีวิตหนึ่งที่ได้เริ่มต้น พจญภัยไปในประเทศแห่งหนึ่งที่อยู่ในโลกใบกลมๆใบนี้ ประเทศนั้นมีชื่อเรียกว่า "ประเทศไทย" และในประเทศแห่งนี้ก็ยังมี จังหวัดหนึ่งที่มีชื่อว่า "จังหวัดตรัง" ทุกๆอย่างของชีวิตผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ที่แห่งนี้

ในทุกๆวัน ทุกๆอย่างมันก็เริ่มจะดูเลือนลาน เข้าไปทุกทีเมื่อผมนั้นมองย้อนกลับไปหาตัวเองในอดีตว่าเวลาที่ผ่านมาผมนั้นได้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างในชีวิต ได้ลิ้มรสความรู้สึกอะไรมาบ้างกว่าจะมาเป็นผมในทุกๆวันนี้

เวลาวินาทีแรกที่พบกับความรู้สึก "ดีใจ"

ผมจำได้ว่าวินาทีแรกที่มีความรู้สึกนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ทุกๆอย่างรอบๆตัวมันก็เป็นไปตามที่คิดซะทุกอย่าง อะไรที่ทำมันก็ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ ไม่มีความรู้สึกไหนเลยที่จะดีไปกว่าความรู้สึก "ดีใจ" แต่แล้ว ผมก็พบว่ามันผิดที่ผมคิดว่าความรู้สึก "ดีใจ" นั้นเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุด เพราะว่าผมได้รู้สึก "ดีใจ" ครั้งแรกที่จำความได้คือ การที่พ่อกับแม่นั้นอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตารวมไปถึงพี่ของผมหนึ่งคนด้วย มันเป็นเวลาที่อบอุ่นและทำให้ผมนั้นดีใจมากๆ แต่แล้วมันกลับเป็นว่ามันเป็น จุดเริ่มต้น ของเวลาที่จะทำให้ผมได้พบกับความรู้สึกต่างๆอีกมากมาย

เวลาวินาทีที่สองที่พบกับความรู้สึก "เสียใจ"

ความรู้สึก "เสียใจ" มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความรู้สึก "ดีใจ" ในขณะที่ผมได้พบว่าความรู้สึกดีใจนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกต่างๆที่จะตามมา ความรู้สึก "เสียใจ" นั้นมันก็เข้ามาทำร้ายผมทันทีที่คิดขึ้นได้ เพราะ เมื่อผมอายุได้ประมาณ 14 ปี กำลังศึกษาอยู่ในชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ในโรงเรียน สภาราชินีจังหวัดตรัง ในช่วงนั้นผมไม่เคยเลยไม่เคยเลยจริงๆที่จะคิดว่าสิ่งรอบตัวที่ผมทำนั้นมันผิด มันไม่ดี ผมไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ตรงกันข้ามผมกลับคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องสนุก เรื่องขำขัน ก็แค่ชีวิตช่วงหนึ่งที่กำลังจะเป็นวัยรุ่น แต่แล้วเมื่อผมจบการศึกษาในเทอมแรก ผลการเรียนของผมนั้นย่ำแย่มากรวมไปถึงพฤติกรรมที่ผมกระทำ มันทำให้ พ่อกับแม่ของผมต้องผิดหวังในตัวผม ในขณะนั้นเอง ผมก็ได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึก "เสียใจ" ผมรู้สึก "เสียใจ" มากที่ผมนั้นหลงผิดคิดไปว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันดีมันสนุก มันก็แค่การเห็นแก่ตัวของเด็กคนหนึ่ง โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่า พ่อกับแม่ที่เลี้ยงดูเรามาหวังจะให้เราเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีความรู้นั้นต้องผิดหวัง แต่พ่อแม่ก็ยังรักผมเสมอและยังมอบโอกาศให้ผมนั้นได้แก้ตัวทำให้ท่านเห็นว่า ผมนั้นจะปรับปรุงตัวและเป็นอย่างที่พ่อกับแม่หวังให้ผมนั้นเป็นคนดี และนี่เป็นความรู้สึก "เสียใจ"ที่สุดในชีวิตของผม

เวลาวินาทีที่สามที่พบกับความรู้สึก "เศร้า"

ความรู้สึก "เศร้า" มันก็ยังคงเป็นผลต่อเนื่องมาจาก ความรู้สึก "เสียใจ" มันเป็นโซ่ที่พันธนาการต่อจากความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น นั่นคือความรู้สึก "ดีใจ" มันเกิดขึ้นเมื่อผม ได้ย้ายเข้ามาเรียนใน กรุงเทพฯ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื่องมาจากการที่ผมได้รับโอกาศให้แก้ไขตัวเองแต่จะต้องมาอยู่โรงเรียนประจำซึ่งมันเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง แต่ในตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นที่ที่เลวร้ายมาก ถึงอย่างนั้นก็ตามผมก็ตองพยายามปรับปรุงตัวเองให้พ่อกับแม่กลับมาเชื่อใจผมอีกครั้งผมจึงต้องอดทนและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แต่แล้วเมื่อผม ได้บรรลุเป้าหมายในความพยายาม ผมก็ได้พบกับความรู้สึก "เศร้า" ที่ผมได้พบกับมันเพราะว่าเมื่อวันเวลาค่อยๆผ่านไป ผมกลับคิดได้ว่าถ้าผมไม่ทำตัวหลงละเริงในวันวาน พ่อกับแม่ของผมคงไม่ต้องมาเสียทั้งเงินเสียทั้งความรู้สึกกับตัวผมมากมายขนาดนี้ ทำไมนะ ทำไมตัวผมไม่คิดได้ในวันนั้นก่อนที่เวลามันจะล่วงเลยมาจนถึงทุกวันนี้ที่ผมกำลังคิดอยู่ ต่อจากนั้นมาผมก็คอยบอกกับตัวเองเสมอว่าให้คิดอะไรให้ดีให้ละเอียดรอบคอบ คิดถึงคนอื่นให้มากๆอย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะ "โลกนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเรา"

เวลาวินาทีที่สี่ที่พบกับความรู้สึก "ภูมิใจ"

หลังจากที่ผมได้พบกับเรื่องราวเวลาความรู้สึกต่างๆมามากมายและแล้วก็มาถึงช่วงอายุ 18 ปี เป็นช่วงที่ผมกำลังจะสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนสภาราชินีจังหวัดตรัง ช่วงนี้ของชีวิตผมได้พบกับความยากลำบากความตึงเครียดที่มันถาโถมเข้ามา แต่ด้วยใจที่ไม่ยอมแพ้ ด้วยความพยายามตลอดที่ผ่านมา ทำให้ผมได้ประสบความสำเร็จในการเข้าศึกษาต่อใน "มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ" ในวันที่ประกาศผลของการสอบเข้า ในตอนแรกของวันที่ประกาศผล ผมเองไม่คิดเลยว่าตัวผมจะสอบติดเนื่องจากตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรมากมาย อยู่ในระดับกลางๆเสียด้วยซ้ำแต่ก็มีความหวังเล็กๆว่าจะสอบติดเหมือนกัน ในตอนกลางวันของวันประกาศผลสอบ อินเตอร์เน็ต ที่บ้านของผมนั้นมีปัญหาทำให้ผมไม่ทราบเลยว่า ผลสอบนั้นออกมาเป็นอย่างไรและผมนั้นสอบติดหรือเปล่า แต่ในเวลาต่อมาในตอนเย็นของวันนั้น ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่น คอมพิวเตอร์ พ่อของผมก็ได้บอกให้ลองเข้าไปดูผลของการสอบอีกรอบ เพราะตอนนี้อินเตอร์เน็ตไม่มีปัญหาแล้ว ผมก็รีบเข้าทันทีที่พ่อของผมบอก ในตอนแรกที่เปิดเข้าไป ผมนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าผมสอบติด ผมรู้สึกอึ้งมาก จนพูดอะไรไม่ออก และนี่แหละคือเวลาที่ผมพบกับความรู้สึก "ภูมิใจ" ครั้งแรกในชีวิตที่ผมเองได้ทำให้พ่อและแม่ของผมนั้นรู้สึก "ภูมิใจ" ในตัวผมเช่นเดียวกัน